เปิดบริการตั้งแต่ 29 มกราคม 2550 - ปัจจุบัน
| เปิดบริการมาแล้ว 17 ปี 10 เดือน 22 วัน
19/02/2020 | by WTravel
 เมืองกวางเจา กว่างโจว กวางโจว หรือ กวางเจา ( Guǎngzhōu หรือ Gwong2 zau1 ในภาษาจีนกวางตุ้ง) เป็นเมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง กว่างโจวเป็นเมืองใหญ่สุดทางภาคใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งเป็นมณฑลซึ่งเป็นที่ตั้งของเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 3 แห่งของจีน คือ เซินเจิ้น จูไห่ และ ซัวเถา นอกจากนั้นเมืองกว่างโจวยังมีสำเนียงเฉพาะถิ่นที่ถือว่าเป็นมาตรฐานของ ฮ่องกง และมาเก๊า เรียกว่า สำเนียงกว่างโจวอีกด้วย
  • เมืองกว่างโจวเมืองกว่างโจวตั้งอยู่ปากแม่น้ำจูเจียง และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีความประวัติศาสตร์ ยาวนานกว่า 2,800 ปี เป็นจุดเริ่มของเส้นทางสายไหมทางทะเลในครั้งอดีต และยังเคยเป็นเมืองท่าเสรีแห่งแรกและแห่งเดียวที่เปิดต้อนรับชาวตะวันตกที่เข้ามาติดต่อค้าขาย
 
  • กว่างโจวแม้จะเป็นศูนย์กลางในการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน แต่กว่างโจวยังมีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานในรูปสถานที่สำคัญต่าง ๆ ปัจจุบันกว่างโจวมีบทบาทเป็นเมืองในเขตเศรษฐกิจการค้าที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในภาคใต้ของจีน และยังได้รับสถานะเป็นหนึ่งในสามเมืองท่าที่สำคัญที่สุดของจีน อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีผลผลิตโดยรวมมากที่สุดด้วย นอกจากนั้นยังมีการคมนาคมขนส่งที่สะดวก ทันสมัย มีระบบรถไฟใต้ดินครอบคลุมเมืองชั้นในทั้งหมด รวมทั้งด้านภูมิอากาศ อาหาร การดำรงชีวิต ตลอดจนความเป็นอยู่ก็มีความคล้ายคลึงกับประเทศไทย กว่างโจวมีภาพลักษณ์ค่อนข้างแตกต่างจากเมืองทางเหนือ ซึ่งบรรยากาศที่เต็มไปด้วย "ราชการและเป็นทางการ" แต่ในกว่างโจวจะรู้สึกและรับรู้ได้ถึง "การค้าและความวุ่นวาย"
 
  • สภาพภูมิอากาศ แม่น้ำไข่มุกในเมืองกว่างโจวภูมิอากาศของกว่างโจวถูกจัดว่าดีมาก ฤดูหนาวไม่หนาวจัด ฤดูร้อนไม่ร้อนจนเกินไป ทั้งสี่ฤดูตลอดปีจะมีดอกไม้บาน ผู้คนจึงมักเรียกกว่างโจวว่า เมืองดอกไม้ กว่างโจวมีภูมิทัศน์ที่งามตามีจุดชมวิวมากมาย
 
  • เวลา เวลาที่กวางเจาเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง
  • ภาษา ภาษา ที่ใช้อยู่โดยทั่วไปในเซินเจิ้น คือ ภาษากวางตุ้ง และ ภาษาจีนกลาง ซึ่งใช้เป็นภาษาราชการ เนื่องจากรัฐบาลจีนได้มีการจัดตั้งให้เมืองเซินเจิ้นเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีการลงทุนมากมาย จึงทำให้ผู้คนจากทั่วสารทิศเข้ามาหาโอกาสที่มีอยู่มากมาย ทำให้จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบัน ประชากรทั้งหมดของ เซินเจิ้นมีทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งเขตตัวเมืองและเขตปริมณฑล ประมาณ 20 ล้านคน
 
  • เงินตรา ใช้ เงินสกุล หยวน สกุลเงินของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนคือเงินเหยินหมินปี้ (Renminbi แปลตามตัวว่าเงินของประชาชน) มักใช้ตัวย่อ RMB หน่วยเงินของจีนเรียกว่าหยวน (yuan) หนึ่งหยวนมีสิบเจี่ยว (jiao) หนึ่งเจี่ยวมีสิบเฟิน (fen) 100 เฟินเท่ากับหนึ่งหยวน ธนบัตรแบ่งออกเป็นใบละ 1 หยวน , 5 เจี่ยว , 1,2 และ 5เฟินเฟินเป็นหน่วยเล็กสุดเจี่ยวหรือเหมาเป็นหลักสิบจากนั้นเป็นหยวน
  • ระบบไฟฟ้า ใช้ระบบกระแสไฟแบบ AC 220 V, 50 Hz. อาคารส่วนใหญ่ในประเทศใช้ปลั๊กไฟแบบมาตรฐาน แต่ก็ยังมีบางที่ที่ยังใช้ปลั๊กแบบสามตาอยู่ ดังนั้น หากท่านต้องการนำอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าจากเมืองไทยไปใช้ด้วย กรุณานำตัวแปลงหรือปลั๊กแบบใช้ได้ทั่วโลกติดตัวไปด้วย หรือจะไปขอยืมจากโรงแรมที่พักของท่านก็ได้ค่ะ โดยจะมีให้บริการตามโรงแรมในจีนบางแห่ง
ตัวอย่างปลั๊กไฟและตัวแปลงที่ใช้กับปลั๊กไฟ
  • การใช้โทรศัพท์ โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถใช้ได้โดยท่านต้องขอเปิดใช้บริการ IR INTERNATIONALROAMING กับระบบโทรศัพท์ของท่าน ก่อนเดินทาง เพื่อความสะดวกควรใช้บัตรโทรศัพท์ที่มีขายในโรงแรม และร้านค้าทั่วไป โดยหมุน 001-66-2 (2-กรุงเทพฯ / 38-ชลบุรี / 53-เชียงใหม่) ตามด้วยเบอร์โทรศัพท์บ้าน เบอร์มือถือ 001-66-1 (หมายเลขนำหน้าของโทรศัพท์มือถือ) ตามด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือ
  • การให้ทิป การให้ทิปในต่างประเทศถือเป็นเรื่องสำคัญ และมารยาทของนักท่องเที่ยวควรให้ทิปสำหรับคนที่ให้บริการท่าน อาทิคนขับรถ / ไกด์ท้องถิ่น ที่คอยอำนวยความสะดวกให้แก่ท่านระหว่างการเดินทาง
  • อาหารการกิน อาหารจีนต้นตำรับที่พลาดไม่ได้ เมื่อเดินทางไปเยือนเมืองจีน ก็คือ อาหารเสฉวน เอกลักษณ์อยู่ตรงที่รสเผ็ดและชา รสชาติสด หอม ชุ่มคอ และอร่อย อาหารจานเด็ดของเสฉวน ได้แก่ "หมาผัวโต้วฝู่" หรือ ผัดเต้าหู้เนื้อสับ อาหารหูหนาน หรือ เซียงไช่ ก็เป็นอาหารขึ้นชื่ออีกประเภท มีจุดเด่นอยู่ที่รสเปรี้ยว และเผ็ด นอกจากนี้ เกี๊ยวต้มจีน หรือ เจี่ยวจือ ถือเป็นอาหารท้องถิ่นที่ชาวจีนนิยม รับประทานกันมากค่ะ ท่านที่ไปเที่ยวเมืองจีน อย่าพลาดการลิ้มลองอาหารเลื่องชื่อ เหล่านี้ได้ จากร้านอาหาร และ ภัตตาคารต่างๆของโรงแรมในจีนกันนะคะ ทั้งนี้ อาหารในเมืองจีนส่วนใหญ่รสชาติค่อนข้างจืด สำหรับท่านที่ชอบทาน อาหารรสจัด สามารถนำเครื่องปรุงติดตัวไปรับประทานเองได้นะคะ เช่น น้ำพริก หรือซอสปรุงรสต่างๆ
  • รายการช้อปปิ้ง สินค้าแบรนด์เนม เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา และอื่น ๆ มากมาย
 
  • เทศกาลสำคัญ

วันไหว้พระจันทร์ : กล่าวกันว่าในคืนวันไหว้พระจันทร์ ดวงจันทร์จะสุกสว่างและมองเห็นเป็นดวงกลมที่สุดในรอบปี ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือนแปดของจีน

วันสารทจีน : วันสารทจีน ลูกหลานจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษโดยพิธีเซ่นไหว้ โดยหญิงที่แต่งงานแล้วไม่สามารถที่จะกลับมาไหว้บรรพบุรุษของตนเองนอกเสียจากมีพ่อหรือแม่ของตนเสียชีวิตไปแล้วจึงสามารถกลับมาบ้านตนเองเพื่อกราบไหว้ได้ แต่หากพ่อหรือแม่ของฝ่ายหญิงที่แต่งงานแล้วยังไม่เสียชีวิต ฝ่ายหญิงก็ต้องไหว้บรรพบุรุษของบ้านสามีนั้นเอง เทศกาลชีซี : วันแห่งความรักของประเทศจีน เทศกาลชีซียังรู้จักกันในนาม “เทศกาลหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า” หรือที่ญี่ปุ่นเรียก “เทศกาลทานาบาตะ” อีกด้วย เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง : เทศกาล "บ๊ะจ่าง" หรือ หรือเทศกาลไหว้ "ขนมจ้าง" เป็นเทศกาลของชาวจีน ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามของปฏิทินจีน เรียกชื่อตามตำราว่า "โหงวเหว่ยโจ่ย" บ๊ะจ่าง เชงเม้ง: ระเพณีที่สำคัญมากที่สุดของของชาวจีน คือ ไหว้บรรพบุรุษที่สุสาน (ฮวงซุ้ย) เป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยมีอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื๊อ ที่เน้นเรื่องความกตัญญูเป็นสำคัญ วันตรุษจีน : ตรุษจีนเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน เช่นเดียวกับสงกรานต์วันปีใหม่ไทย ทุกคนต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่างหยุดงาน โรงเรียนสถาบันการศึกษาต่างปิดเทอมในช่วงนี้ เป็นปิดเรียนฤดูหนาว ยกเว้นคนที่ต้องทำหน้าที่ไม่สามารถหยุดงานได้ หน่วยงานห้างร้านต่างก็หยุดงาน 3-4 วัน เมื่อใกล้วันปีใหม่จีน ผู้คนต่างก็มีการตระเตรียมงานปีใหม่ วันชาติจีน : ก่อนที่จะมีการกำหนดวันดังกล่าวให้เป็นวันชาติจีนใหม่ ทางคณะรัฐบาลยุคนั้นซึ่งนำโดยประธานาธิบดีเหมาเจ๋อตง(毛泽东)ได้เตรียมการหลายอย่างเพื่อการนี้ จึงเป็นที่มาของสัญลักษณ์ธงประจำชาติ พิธีการชักธงขึ้นสู่ยอดเสาที่ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณหน้าจัตุรัสเทียนอันเหมิน(天安门广场)ตลอดจนเพลงชาติและพิธีกรรมต่างๆ ที่ผู้นำจีนใหม่ทุกยุคทุกสมัยล้วนปฏิบัติสืบต่อกันเป็นธรรมเนียม

แหล่งที่มา https://cantonfairholiday.com